ทีม “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ทีมดังของกรุงลอนดอนกลายเป็นทีมที่ถือว่าประสบความสำเร็จในฤดูกาลนี้ หลังจากที่พวกเขาก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ฟุตบอลเอฟเอ คัพได้สำเร็จเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากที่พลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะเชลซี ทีมคู่ปรับร่วมกรุงลอนดอนได้สำเร็จในนัดชิงชนะเลิศ 2-1 ทั้งที่ต้องโดนนำไปก่อนตั้งแต่ช่วงต้นเกมด้วยซ้ำ แต่ว่ามิเกล อาร์เตต้า กุนซือหนุ่มชาวสเปนก็สามารถแก้ลำให้ทีมพลิกกลับมาเอาชนะทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” ได้สำเร็จ ทำให้คว้าแชมป์เอฟเอ คัพสมัยที่ 14 ของสโมสรไปครอง และทำให้พวกเขายืดการเป็นแชมป์ในฟุตบอลรายการที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษมากที่สุดต่อไปอีกด้วย ทั้งๆ ที่ในรอบรองชนะเลิศพวกเขาถูกมองว่าเป็นเต็งบ๊วยที่จะคว้าแชมป์ได้ด้วยซ้ำ แต่ก็สามารถพลิกล็อคเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้มาได้สำเร็จ แถมยังมาชนะเชลซีได้อย่างสวยงามอีกด้วย ซึ่งทำให้กลายเป็นฤดูกาลที่ถือว่าประสบความสำเร็จของอาร์เซน่อลทันที แม้ว่าพวกเขาจะจบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับที่ 8 ของพรีเมียร์ลีกก็ตาม และเป็นอันดับที่ย่ำแย่ที่สุดของสโมสรในรอบหลายปีเลยด้วยซ้ำ แต่การมีแชมป์ติดมือในฤดูกาลนี้ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ของยุคใหม่ของอาร์เซน่อล ภายใต้กุนซือคนใหม่อย่างมิเกล อาร์เตต้าอีกด้วย
จากที่ฤดูกาลนี้น่าจะเป็นฤดูกาลที่ล้มเหลวสำหรับอาร์เซน่อล เพราะว่าพวกเขามีการเปลี่ยนแปลงกุนซือระหว่างช่วงกลางฤดูกาลด้วย โดยเปลี่ยนจากอูไน อเมรี่ กุนซือชาวสเปนที่เข้ามาคุมทีมแทนที่ของอาร์เซน เวนเกอร์ ยอดกุนซือชาวฝรั่งเศสในถิ่นเอมิเรต สเตเดี้ยมได้ไม่ถึงปีครึ่งด้วยซ้ำก็ต้องถูกปลดจากตำแหน่งไป หลังจากที่พาทีมทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ในช่วงต้นฤดูกาล และบอร์ดบริหารของสโมสรก็ต้องใช้เวลาในการคัดสรรผู้จัดการทีมคนหใหม่อยู่เกือยเดือนเลยทีเดียว กว่าที่จะได้มิเกล อาร์เตต้า อดีตกองกลางห้องเครื่องของทีมเข้ามาคุมทีมในช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้อาร์เตต้าก็ยังไม่มีประสบการณ์ในการคุมทีมมาเลยด้วยซ้ำ โดยเขาเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยของเป็ป กวาดิโอล่าที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้เท่านั้น แต่เขาก็ได้รับเครดิตในความสามารถอยู่พอสมควร ทำให้อาร์เซน่อลตัดสินใจเสี่ยงที่จะให้กุนซือใหม่รายนี้เข้ามาคุมทีมในช่วงที่เหลือของฤดูกาลแทน แต่ว่ามันก็ถือว่าสายเกินไปกับการที่จะหวังให้พวกเขาทำอันดับดีๆ ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้แล้วในตอนนั้น เพราะว่าสถานการณ์ในตอนนั้นอาร์เซน่อลเสียเปรียบคู่แข่งทีมอื่นๆ ไปมากแล้วนั่นเอง ซึ่งการที่พวกเขาจบอันดับที่ 8 ในลีกฤดูกาลนี้ก็ถือว่าไม่ได้ย่ำแย่มากนัก แม้ว่าจะเป็นอันดับที่แย่ที่สุดของสโมสรในรอบหลายปีก็ตาม
มิเกล อาร์เตต้าได้แสดงศักยภาพให้เห็นเป็นที่เรียบร้อยแล้วในเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นที่เขาเข้ามารับตำแหน่งนายใหญ่แห่งถิ่นเอมิเรต สเตเดี้ยม ว่าเขาสามารถทำให้อาร์เซน่อลที่ใครหลายคนสบประมาทไว้คว้าแชมป์เอฟเอ คัพในฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ ทั้งๆ ที่ในระหว่างฤดูกาลพวกเขามีปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหานักเตะบาดเจ็บ ปัญหาระหว่างนักเตะกับแฟนบอล และรวมถึงปัญหาพฤติกรรมของนักเตะก็ตาม รวมถึงปัญหาแนวรับของทีมด้วยที่เป็นปัญหาของอาร์เซน่อลมาอย่างช้านาน แต่ด้วยกึ๋นของอาร์เตต้ากลับทำให้อาร์เซน่อลก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ได้สำเร็จอย่างเหลือเชื่อ ทั้งๆ ที่พวกเขาต้องเสียนายประตูมือ 1 อย่างแบร์น เลโน่ที่บาดเจ็บไปในช่วงท้ายฤดูกาลด้วย แต่เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซกลับก้าวขึ้นมาทำหน้าที่แทนได้อย่างยอดเยี่ยม
ในช่วงปิดฤดูกาลนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญช่วงหนึ่งของอาร์เซน่อล และบอร์ดบริหารของสโมสรที่นำโดยสแตน โครเอ็นเก้เป็นอย่างยิ่ง ว่าเขาจะกำหนดทิศทางของอาร์เซน่อลไปในทิศทางใด ซึ่งหากเจ้าของทีมชาวอเมริกันยังปล่อยปะละเลยทีม “ปืนใหญ่” เหมือนอย่างที่ผ่านมาก็เป็นไปได้ยากที่จะทำให้อาร์เซน่อลก้าวขึ้นมาเป็นทีมลุ้นแชมป์อีกครั้งหลังจากนี้ แต่หากว่าพวกเขาให้การสนับสนุนเพื่อที่มิเกล อาร์เตต้าจะสามารถต่อยอดความสำเร็จหลังจากนี้ ก็มีโอกาสไม่น้อยที่พวกเขาจะลดช่องว่างอาร์เซน่อล กับ 2 ทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ให้มีความเหลื่อมล้ำน้อยลงกว่านี้ ซึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญกับทิศทางของสโมสรเลยทีเดียว เพราะว่าในช่วงหลังจากนี้เชลซี และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็กำลังพัฒนาทีมขึ้นไปต่อกรกับ 2 ทีมแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งล่าสุด ซึ่งมันอาจจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างทีมท็อป 4 อีกครั้งก็เป็นได้ หากว่าอาร์เซน่อลไม่มีเงินเสริมทัพให้กับมิเกล อาร์เตต้าในการสร้างทีมสู้ศึกในฤดูกาลหน้า ซึ่งมันอาจจะทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่หลุดวงโคจรในการไปเล่นศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นการถาวรก็เป็นได้ เพราะว่าตอนนี้พวกเขาก็พลาดการเล่นถ้วยใหญ่ของยุโรปเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันแล้วด้วย ซึ่งหากพวกเขาไม่เพิ่มศักยภาพของทีม จะเป็นการทิ้งมิเกล อาร์เตต้าไว้กลางสมรภูมิรบที่เต็มไปด้วยขวากหนามอย่างแน่นอนในฤดูกาลหน้า ทั้งๆ ที่บอร์ดบริหารของสโมสรช่วยได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ